มะเร็งทุกระยะ รักษาด้วย DI LEZEL
  • Di Lezel
Picture

"ไต​วาย" กลายเป็นไตดี ปี 2020
ฟื้นฟูไต ไม่ต้องฟอก ดูแลได้ทุกอาการ

โรคไตวาย หมอบอกคนไข้เบาๆ ต้องฟอกไตแล้วนะ คุณรู้สึกอย่างไร? รักษามานานแสนนาน ทุกข์ทรมานกับการกินยา แต่ร่างกายกับทรุดลง ท้อแท้ หมดหวัง เบาหวาน ความดัน ไขมันในเลือดสูง เก๊าท์ หัวใจ กินยาอย่างมีระเบียบวินัยมาครึ่งชีวิต ควบคุมอาหารตามที่คุณหมอสั่งทุกอย่าง

​​แต่ทำไม ไตวาย!! แทบไม่ทันตั้งตัว

ความหวังกลายเป็น ศูนย์ เปอร์เซ็นต์ หมอแจ้งการรักษาทำได้แบบประคับประคองตามอาการเท่านั้น งดอาหารทุกประเภทที่เราเคยกินและเคยชอบ หนัก!! กว่าเดิมที่เราเคยดูแลมาแล้ว


​เปิดเผยนวัตกรรมใหม่

ที่ทำให้คนไทยทั่วประเทศกลับมามีความหวังและความสุขได้อีกครั้ง

กับคำว่า เหนือกว่าการฟอกไต 
คือ
 ฟื้นฟูได้ปลอดภัย 100%
​ด้วย โภชนบำบัด

​"พอลลิติน"


​แก้ปัญหาโรคไตได้ทุกระยะ !!
- ไม่ต้องเป็นภาระลูกหลาน
- ไม่ต้องทรมานจากโรคร้าย
- ไม่ต้องขายบ้าน ขายรถเอาเงินมารักษาตัว
Picture
Picture
Picture
Picture
คุณสุจิตรา ทองจันทร์ ผู้ป่วยกรวยไตอักเสบ กลั้นปัสสาวะจนทำให้กรวยไตอักเสบ มีอาการไข้ หนาวสั่น ไม่มีแรงเหมือนขาดอากาศหายใจ เมื่อทราบว่าตัวเองเป็นกรวยไตอักเสบ เข้ารพ.ทันทีและฉีดยาฆ่าเชื้อ นอนรพ.ครั้งละ 7 คืน ตลอดระยะเวลา 3 ปี จนกระทั่งได้มาทาน พอลลิติน ไม่ได้สังเกตุตัวเองว่าหายตอนไหน แต่กลับพบว่า ไม่มีอาการดังกล่าว ตั้งแต่เริ่มทานพอลลิตินมา

​ไตวาย ความดัน เบาหวัน ไทรอยด์ 
อยู่มาเดือนนึงร่างกายเปลี่ยน กลายเป็น ไตวายเฉียบพลัน น๊อคเข้าโรงพยาบาล รักษาไปตามอาการ เป็นผู้ป่วยติดเตียง 3 เดือน โชคดีได้เจอ พอลลิติน
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

พี่เอกชัย วันนี้ได้มีโอการมาแบ่งปันประสบการณ์ จากการใช้ผลิตภัณฑ์ เซอร์นิติน/พอลลิติน หลังจากที่ได้ทานแล้วร่สงกายแข็งแรง ค่าไตดี และได้บอกต่อให้ญาตฺพี่น้องทาน 
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

​ป่วยเป็นไตวาย ระยะสุดท้าย
ฟอดไตวันเว้นวัน หมอบอกให้ทำใจ แต่มีโอกาสได้มาเจอผลิตภัณฑ์ เซอร์นิติน/พอลลิติน ทานผ่านไปเซ็ตแรกอาการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปฏิหาริย์ รอดตาย
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล

​คุณเลิศพงศ์ พงษ์เจริญปรีชา
 
ผู้ป่วยโรคไต ระยะที่ 4 พบว่า เป็น เก๊าท์ ความดัน เบาหวาน และไต ผ่านมา 2 ปี ไตเริ่มเสื่อมมากขึ้น พบว่าเป็นไต ระยะที่ 4-5คุณหมอ สั่งให้ฟอกไต 
ผลลัพธ์ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture

​คำว่าสายเกินไป
ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น


1 นาที ที่คุณคิด 
กับ 1 ชีวิต ที่ต้องการโอกาส
​

ทางเลือกที่เป็นทางรอด
เพื่อคนที่คุณรัก... คลิ๊ก

Picture
Picture
Picture
โภชนบำบัด บำรุงร่างกายจำหน่ายไปกว่า 50 ประเทศใน 6 ทวีปทั่วโลก ยาวนานกว่า 50 ปี USA ดูแลถึงระดับเซลล์ มีงานวิจัยจากสถาบันทางการแพทย์และเภสัชกรรมรองรับ มากกว่า 150 งานวิจัย สามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพได้จริง

​ได้รับมาตรฐานดังต่อไปนี้

>มาตรฐานอาหารและยา (อย.) ประเทศไทย
>มาตรฐานอาหารฮาลาล
>NFS (National Science Foundation) จาก USA
>GMP (Good Manufacturing Practice) มาตรฐานอาหารระหว่างประเทศ หรือโคเด็กซ์ (CODEX)
>GLP (Good Laboratory Practice) มาตรฐานงานวิจัยที่ยอมรับระดับสากล โดย WHO (องค์การอนามัยโลก) ให้การรับรอง
>สำนักงานผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ (MPA) ดูแลระบบการผลิต
>Certified Organic Processing มาตรฐานการรับรองกระบวนการผลิตเกษตรอินทรีย์ระดับสากล
>มาตรฐาน GAP องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO)
>มาตรฐาน FDA (Food and Drug Administration ) หมายถึง องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริการับรองคุณภาพ
>มาตรฐานอาหารยิว (Kosher Dietary Law)
>พระราชบัญญัติผลิตภัณฑ์อาหารอินทรีย์ (Organic food Production Act-OFP)
Picture
Picture
Picture
POLLITIN สกัดจากธรรมชาติคุณภาพสูง สกัดจากอณูละอองเกสรดอกไม้ 8 ชนิด ประกอบด้วย Aspen, Hazel, Maize, Oxeye Daisy, Pine Pollen, Rye, Sallow และ Timothy ความโดดเด่นของพอลลิติน ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น “Nutraceutical” หรือ สารอาหารบำบัด
พอลลิติน แบ่งออกเป็น 9 ระบบ มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกันออกไปและมีกรดอะมิโนกลุ่มหนึ่งที่สำคัญซึ่งมีคุณสมบัติพิเศษและมีเฉพาะในพอลลิตินเท่านั้น ทำให้ผู้ที่รับประทานได้รับประโยชน์ในการฟื้นฟูและบำรุงสุขภาพได้อย่างรวดเร็วมีความปลอดภัยสูงและจากการดูแลลงลึกถึงระดับเซลล์ทำให้พอลลิติน ช่วยเสริมสร้างซ่อมแซมและบำบัดโรคในกลุ่ม NCDs ได้เป็นอย่างดี ​
Picture
Graminex เป็นผู้ผลิตพอลลิติน ซึ่งเป็นผู้ผลิตเฉพาะทางที่พิเศษที่สุด และเป็นโรงงานผลิตที่ไม่ใช้สารทำละลายในการสกัดละอองเกสรดอกไม้ รวมทั้งยังเป็น ผู้นำในตลาดอาหารเสริมระดับโลก สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองSaginawรัฐ Michigan ประเทศสหรัฐอเมริกาแต่หัวใจของ  Graminex คือมีพื้นที่เพาะปลูกและโรงงาน ผลิตอยู่ที่เมือง Deshler รัฐ Ohio ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีพื้นที่โรงงานถึง 130,000 ตร.ฟุต หรือประมาณเกือบ 15,000 ตร.ม. และพื้นที่ปลูกที่เป็นของบริษัทเอง 6,500 เอเคอร์ หรือประมาณ 16,000 ไร่ตั้งอยู่ ทางเหนือของรัฐโอไฮโอพื้นที่ปลูกนี้เป็นพื้นดินที่อุดมสมบูรณ์อย่างมาก
​
Picture
Picture
Picture

 ไตวายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้

ไตวายเฉียบพลัน เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้อย่างทันทีทันใด โดยเริ่มจากปัสสาวะน้อยลง หรือ ไม่ปัสสาวะเลย มีอาการบวมที่ขาและเท้า เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รู้สึกมึนงง อ่อนเพลีย หรือง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา นอกจากนี้ยังอาจมีอาการปวดหลังบริเวณชายโครง หายใจถี่ ทั้งนี้บางราย
​
อาจไม่แสดงอาการใด ๆ เลย หรือในกรณีที่อาการรุนแรง อาจมีอาการชักหรือหมดสติเข้าสู่ภาวะโคม่าแบบเฉียบพลัน

​​
Picture
ไตวายเรื้อรัง แบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินการทำงานของไต (Estimated Glomerular Filtration Rate - eGFR) หรือ…ค่าที่ประมาณว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไหร่ ซึ่งคนปกติทั่วไปจะมีค่าประเมินการทำงานของไตอยู่ที่ 90-100 มิลลิลิตรต่อนาที (ml/min) โดยระยะของไตวาย มีดังนี้
Picture
ระยะที่ 1 ในช่วงแรกของอาการไตวายเรื้อรังจะไม่มีอาการแสดงให้เห็นชัดเจน ค่าประเมินการทำงานของไตจะอยู่คงที่ประมาณ 90 ml/min ขึ้นไป แต่อาจพบอาการไตอักเสบ หรือพบภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในปัสสาวะ 

ระยะที่ 2 เป็นระยะที่การทำงานของไตเริ่มลดลง แต่ยังไม่มีอาการแสดงให้เห็นนอกจากการตรวจค่าการทำงานของไตเช่นเดียวกัน ซึ่งค่าการทำงานของไตจะเหลือเพียง 60-89 ml/min

ระยะที่ 3 ในระยะนี้ จะถูกแบ่งออกเป็นอีก 2 ระยะย่อย คือ 3A และ 3B ตามค่าการทำงานของไต โดย 3A จะมีค่าการทำงานของไตอยู่ที่ 45-59 ml/min ส่วน 3B จะอยู่ที่ 30-44 ml/min ซึ่งในระยะที่ 3 ก็จะยังไม่มีอาการใด ๆ สำแดงให้เห็น นอกจากค่าการทำงานของไตที่ทำงานลดลงอย่างต่อเนื่อง

ระยะที่ 4 อาการต่าง ๆ จะแสดงในระยะนี้ นอกจากค่าการทำงานของไตจะลดลงเหลือเพียง 15-29 ml/min แล้ว ผู้ป่วยอาจจะมีอาการ มึนงง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ผิวแห้งและคัน กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยขึ้น มีอาการบวมน้ำที่ตามข้อ ขา และเท้า ใต้ตาคล้ำ ปวดปัสสาวะบ่อย แต่ปริมาณปัสสาวะน้อยลง โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวตลอดเวลา
​

ระยะที่ 5 เป็นภาวะไตวายระยะสุดท้าย นอกจากอาการที่คล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว อาจมีภาวะโลหิตจางที่รุนแรงขึ้น และอาจมีการตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารต่าง ๆ ที่อยู่ในเลือด นำมาสู่ภาวะกระดูกบางและเปราะหักง่าย ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเสียชีวิตได้


​
Picture
Picture

สาเหตุของไตวายทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรังที่พบได้บ่อยมีดังนี้

- การสูญเสียเลือดหรือน้ำในร่างกายมากเกินไป ส่งผลให้ไตเสื่อมประสิทธิภาพในการทำงานลงอย่างเฉียบพลัน

 - ความดันโลหิตสูง ส่งผลให้ผนังหลอดเลือดที่ไหลเวียนเลือดไปที่ไตผิดปกติ หากมีภาวะความดันโลหิตสูงเป็นระยะเวลานานโดยไม่ได้รับการรักษา  อาจเป็นสาเหตุหนึ่งให้ไตเสื่อมได้ในที่สุด

 - โรคเบาหวาน ระดับน้ำตาลในเลือดส่งผลโดยตรงกับไตทำให้ไตเสื่อม ผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานส่วนมากจึงมีความเสี่ยงที่จะเป็นไตวายเรื้อรัง

 - อาการแพ้อย่างรุนแรง จนทำให้ระบบการทำงานในร่างกายล้มเหลว ส่งผลกระทบต่อการทำงานของไต

 - การทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกายล้มเหลว อาทิ หัวใจวาย หัวใจล้มเหลว ตับล้มเหลว ที่กระทบต่อระบบไหลเวียนเลือดทั่วร่างกายจนทำให้ไตได้รับเลือดไปไหลเวียนไม่เพียงพอ

 - การติดเชื้อ การติดเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียบางชนิด เมื่อแพร่กระจายเข้าสู่กระแสเลือด เชื้อโรคเหล่านี้จะถูกพาไปยังไต และทำให้ไตถูกทำลาย

 - ผลข้างเคียงจากการใช้ยา อาทิ ยาแอสไพริน  ยาไอบูโพรเฟน หรือ ยานาพรอกเซน  หากใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานเกินไป หรือซื้อใช้เองโดยไม่อยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร อาจนำมาสู่ภาวะไตเสื่อม

 - ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น ลิ่มเลือดอุดตันในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโตในเพศชาย นิ่วในไต หรือโรคมะเร็งที่ส่งผลให้เกิดก้อนเนื้อไปขัดขวางระบบทางเดินปัสสาวะจนทำให้ไตขับปัสสาวะออกมาไม่ได้ และเกิดภาวะเสื่อมของไตในที่สุด
​

 - ได้รับสารพิษ เมื่อสารพิษเข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะพยายามขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ไตทำงานหนักขึ้น สารพิษบางชนิดอาจทำลายไตจนทำให้ไตวายได้
Picture
Picture
Picture
• อาการ ที่เข้าข่ายว่าผู้ป่วยเริ่มมีอาการไตวายสามารถสังเกตได้ว่า รู้สึกเหนื่อยง่าย ปัสสาวะน้อยลง มีอาการบวมที่ขาหรือเท้า ผิวหนังมีรอยช้ำง่ายกว่าปกติหรือมีเลือดไหลออกง่ายกว่าปกติ เป็นต้น
•  ไตวาย ผู้ป่วยมีอาการอยู่ในระยะใด ซึ่งวิธีการตรวจมีดังนี้


     - การตรวจปัสสาวะ เป็นการตรวจหาปริมาณของปัสสาวะที่ร่างกายขับออกมาได้ รวมทั้งตรวจหาโปรตีนหรือเม็ดเลือดแดงและเม็ดเลือดขาวที่ปะปนออกมากับปัสสาวะ วิธีนี้จะบอกได้เบื้องต้นว่าไตยังทำงานได้ดีหรือไม่
     - การตรวจเลือด จะแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพในการกรองของไต ซึ่งถ้าหากมีภาวะไตวาย ปริมาณไนโตรเจน กรดยูเรีย (Blood Urea Nitrogen, BUN) และครีเอทินิน (Creatinine, Cr) ที่เป็นของเสียที่มาจากกล้ามเนื้อจะตกค้างในเลือดสูง ทั้งนี้ค่าปกติของคนทั่วไปจะอยู่ที่
 • BUN: ประมาณ 5-20 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
 • Cr: ประมาณ 0.6-1.2  มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ชาย และ 0.5-1.1 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิง

การหาค่าประเมินการทำงานของไต (eGFR) นอกจากนี้อาจมีการหา eGFR เพิ่มเติมด้วย ซึ่งค่าดังกล่าวคือค่าที่จะแสดงให้เห็นว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองเลือดได้เท่าใหร่ วิธีการคำนวณคือจะนำเอาค่าต่าง ๆ รวมทั้ง BUN และ Cr ในเลือดมาคำนวณเพื่อให้ได้ค่าดังกล่าว ซึ่งค่าปกติของคนทั่วไปที่ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับไตจะอยู่ที่ 90 มิลลิลิตร/นาทีอ
Picture
การรักษาไตวายที่ใช้ในปัจจุบันมี 3 วิธีได้แก่
1. การฟอกไตทางช่องท้อง
​2. การฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม
​3. 
การผ่าตัดปลูกถ่ายไต
Picture
การฟอกไต (Dialysis)
การฟอกไตทางช่องท้อง คือ สามารถทำได้เองที่บ้านหรือที่ทำงาน โดยที่ผู้ป่วยหรือผู้ดูแลสามารถเรียนรู้วิธีการทำจากผู้เชี่ยวชาญ มีความถี่ในการทำบ่อยครั้ง/วัน โดยแพทย์จะเป็นผู้กำหนดตามสภาพอาการของผู้ป่วย เช่นกัน ต้องล้างช่องท้องทุกวันแต่จะมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่า เปลี่ยนน้ำยา 4-5 ครั้งต่อวัน ใช้เวลาครั้งละ 2-3 ชั่วโมงเป็นต้น ส่วนค่าใช้จ่ายน้อยกว่าวิธีการฟอกด้วยเครื่องไตเทียม และต้องรักษาความสะอาด เป็นอย่างมากห้ามติดเชื้อ และต้องมีคนดูแลตลอดเวลา ระหว่างฟอกไต มีภาวะแทรกซ้อนไหม? : มีได้บางเล็กน้อย เช่น เป็นตะคริว ปวดศรีษะ ความดันต่ำ
​

ปัจจัยเสี่ยงต่อการฟอกไตทางช่องท้อง
 • จำเป็นต้องกำหนดตารางเวลาการเปลี่ยนถ่ายน้ำยาล้างไตให้เป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันตลอดสัปดาห์
 • จำเป็นต้องมีสายท่อล้างไตแบบถาวรยื่นออกมานอกร่างกาย
 • มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
 • อาจทำให้มีน้ำหนักและรอบเอวที่เพิ่มขึ้น
 • ต้องการพื้นที่ในบ้านสำหรับจัดเก็บน้ำยา อุปกรณ์ที่ใช้ในการล้างไต
 • ต้องการพื้นที่ในห้องนอนสำหรับวางเครื่องมือ  กรณีใช้วิธีการล้างไตทางช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติผู้ที่มีรูปร่างใหญ่มาก อาจต้องทำการล้างไตบ่อยขึ้น

Picture
Picture
การล้างไตด้วยเครื่องไตเทียม คือ  จะต้องทำที่โรงพยาบาล หรือ ศูนย์ฟอกไตเทียมเท่านั้นการบริการมีทั้งโรงพยาบาลรัฐและเอกชน มี ระบบจองคิวในการทำและใช้เวลาในการฟอกแต่ละครั้งตามความรุนแรงของโรคและอาการผู้ป่วย ต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญในการทำงานเท่านั้น ระยะในการฟอกไตและความถี่แพทย์จะเป็นผู้กำหนดความถี่ เช่น สัปดาห์ละ 1-2 ครั้งขึ้นไปตามสภาพผู้ป่วย โดยการฟอกแต่ละครั้ง จะใช้เวลา 3-4 ชั่วโมง
​ดังนั้นค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจึงสูงกว่า ประมาณครั้งละ 2000-3000/ครั้ง หรือเดือนละ 36,000 บาท หรือ ปีละ ประมาณ 400,000-500,000 บาท/ปี

​
ปัจจัยเสี่ยงต่อการฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม
เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของระดับของเหลวในร่างกายที่เกิดขึ้นในระหว่างการรักษา และนอกเหนือจากนี้อาจพบภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่ทั้งเป็นอันตรายและไม่เป็นอันตราย เช่น

 •  รู้สึกไม่สบายหรือรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และอาจมีอาการตะคริวเกิดขึ้นในระหว่างการฟอกไตได้
 •   การติดเชื้อ เช่น การติดเชื้อบริเวณเส้นเลือดที่ใช้ฟอก เยื่อหัวใจอักเสบ กระดูกอักเสบ
 •   จากเส้นที่ใช้ฟอกเลือด เส้นเลือดโป่งพอง เส้นเลือดอุดตัน เส้นฟอกเลือดอุดตัน เป็นต้น
 •   ภาวะหัวใจผิดปกติ ที่เกิดจากการไหลเวียนเลือดที่ผิดปกติ เช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นผิดจังหวะ และภาวะฟองอากาศในหลอดเลือดดำ
 •   อาการไข้ เนื่องจากการติดเชื้อที่เส้นฟอกเลือด
 •   อาการแพ้อย่างรุนแรง จากน้ำยาที่ใช้ในการฟอกไต
 •   ภาวะเกล็ดเลือดต่ำ หรือเซลล์เม็ดเลือดแดงแตก จากสารเฮพาริน ที่ใช้ในการฟอกไตด้วยเครื่องไตเทียม
 •   การเสียสมดุลของปริมาณของเสียในร่างกาย จนทำให้เกิดอาการกระสับกระส่าย ปวดหัว ตัวสั่น หรือเข้าสู่ภาวะโคม่า
 •   ปัญหาสุขภาพจิต ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้า

​
Picture
Picture
การผ่าตัดปลูกถ่ายไต คือ วิธีสุดท้ายในกรณีที่ร่างกายไม่สามารถฟอกไตได้อีกต่อไป ผู้ป่วยต้องทำการเปลี่ยนไตหรือปลูถ่ายไต

การปลูกถ่ายไตคืออะไร
   การปลูกถ่ายไต คือ การบำบัดทดแทนไตในการรักษาภาวะไตวายเรื้อรั้ง นอกเหนือจากการฟอกเลือดและการล้างไตทางช่องท้อง โดยนำไตที่ยังทำงานดีมาปลูกถ่ายให้กับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย
   
​
ไตที่จะปลูกถ่ายมาจากไหนบ้าง
จากผู้บริจาคสมองตาย ซึ่งในทางกฎหมายและทางการแพทย์ถือว่าเป็นผู้เสียชีวิตแล้ว แต่ไตยังทำงานได้ดีโดยต้องได้รับการบริจาคให้กับศูนย์บริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทยเป็นผู้จัดสรรให้กับผู้รอรับไตอย่างเป็นธรรม
จากผู้บริจาคมีชีวิต ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุตามกฎหมาย ผู้บริจาคไตต้องเป็นญาติที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดหรือเป็นสามีภรรยาที่
เเต่งงาน หรืออยู่ด้วยกันมากกว่า 3 ปี ยกเว้นมีบุตรด้วยกันไม่จำเป็นต้องรอครบ 3 ปี


       ค่าใช้จ่ายในช่วงอยู่โรงพยาบาลในการผ่าตัดปลูกถ่ายไตชนิดผู้บริจาคไตยังมีชีวิตอยู่ ประมาณ 100,000-150,000 บาท ในโรงพยาบาลรัฐบาล
       ภายหลังจากการปลูกถ่ายไต ผู้รับบริจาคไตทุกชนิดต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต เพื่อป้องกันการต่อต้านไตใหม่ของร่างกาย
     
 ​

  กรมแพทย์ เผยคนไทยป่วยเป็นโรคไตเรื้อรัง 8 ล้านคน ในจำนวนนี้ป่วยไตเรื้อรังระยะสุดท้ายกว่าแสนคน ที่ต้องรับการฟอกเลือดหรือล้างไตทางช่องท้อง และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องร้อยละ 15-20 ต่อปี บั่นทอนคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและญาติทำให้รัฐบาลต้องใช้ทรัพยากรบุคคลและเสียค่าใช้จ่ายในการรักษาปีละ 20,000 ล้านบาท !!! แต่ผู้บริจาคไตปีนึงไม่ถึง 6,000 คน หากคุณต้องเปลี่ยนไตแล้วจะเอาไตที่ไหนมาเปลี่ยน???   หากคุณรักตัวเอง อยากอยู่กับครอบครัว ลูกหลานไปนานๆ เริ่มต้นดูแลไต ของคุณ
ด้วยสารอาหารบำบัด "พอลลิติน"

​ปัจจัยเสี่ยงต่อการปลูกถ่ายไต
• เสี่ยงในการผ่าตัด อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย
• เกิดการปฏิเสธไตได้
• ร่างกายต่อต้านการรักษา
•ผลข้างเคียงต่อการใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง หรืออาจเป็นโรคกระดูก มะเร็ง)
เกิด
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
บริษัท กรามีเน็กซ์ แอล แอล ซี จำกัด   ได้รับรางวัล  E-Award (Excellent in Exporting Award) 
​ซึ่งเป็นรางวัลประเภทผู้ส่งออกผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม ประจำปี 2003 ของประเทศสหรัฐอเมริกา     
​ เมื่อ วันที่ 30 กรกฏาคม 2546
Picture

ถาม-ตอบ พอลลิติน

พอลลิติน มีส่วนประกอบอะไรบ้าง
เป็นสารสกัดจากละอองเกสรดอกไม้คุณภาพสูง ซึ่งมีสารออาหารมากกว่า 280 ชนิด โดยแต่ละกระปุกมีอัตราส่วนที่เหมาะสมแต่ระบบของร่างกาย ที่นำไปใช้ พร้อมด้วยตัวนำพาที่ทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้งานได้ทันที​

ทำไมต้องทานหลายกระปุก
เนื่องจาก พอลลิติน แต่ละกระปุกแยกการทำงานในแต่ละระบบของร่างกายแตกต่างกัน ซึ่งมีสารอาหารที่เหมาะสมในแต่ระบบ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่เราดูแลระบบต่างๆ ให้แข็งแรงและทำงานได้ดี โรคร้ายก็ไม่สามารถอยู่กับเราได้

​พอลลิตินทำงานอย่างไร ถึงช่วยโรคหัวใจได้
พอลลิติน มีกรดอะมิโน วิตามิน แร่ธาตุ มากกว่า 280 ชนิด ที่เมื่อทานไปแล้วร่างกายดูดซึมเข้าไปใช้ได้ทันทีในแต่ละระบบ ซึ่งไปช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเม็ดเลือดขาวให้แข็งแรง รวมถึง เมื่อเซลล์ต่างๆ ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมระบบต่างๆ แข็งแรงจึงทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆ ได้ และมีงานวิจัยต้านมะเร็งทั้งในและต่างประเทศเป็นจำนวนมาก​

ต้องทานนานเท่าไหร่จึงจะเห็นผล
เนื่องจาก พอลลิติน สามารถดูดซึมไปใช้งานได้ทันที ทำให้ผู้ทานจะรู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้หลังจากการทานประมาณ 1-3 ชั่วโมง และพอลลิตินจะทำให้ชัดเจนขึ้นเมื่อทานต่อเนื่อง ประมาณ 2-3 เดือนขึ้นไป ​

พอลลิติน คือสมุนไพรใช่หรือไม่
พอลลิติน สกัดมาจกละอองเกสรดอกไม้ ระดับไมโครนิวเทรียน ซึ่งมีการทดสอบทางวิทยาศาสตร์ว่าทานไปแล้วไม่มีการตกค้างในร่างกาย และช่วยฟื้นฟูร่างกายได้เหมาะสม ในต่างประเทศ เรียกว่า Nutraceutical (สารอาหารบำบัด) ซึ่งมีคุณสมบัติสูงกว่าสมุนไพร​

ถ้าดีขนาดนั้น ทำไมไม่เอาไว้ในโรงพยาบาล
เนื่องจาก พอลลิติน เป็นสารสกัดจากมาจากธรรมชาติ นำเข้าประเทศในรูปแบบอาหารเสริม จึงไม่ได้เข้า พระราชบัญญัติยา จึงไม่ได้จำหน่ายในโรงพยาบาล​

ไม่ใช่ยาแล้วจะทานหายไหม
กลุ่มโรค ncds ซึ่งเป็นโรคของความเสื่อมไม่ใช่เกิดจากเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น ไต หัวใจ ความดัน เบาหวาน  เก๊าท์ เป็นต้น โดยปกติแล้วไม่มีการรักษา เพียงแต่ร่างกายเราต้องซ่อมแซมและฟื้นฟูด้วยตัวเอง ถ้าร่างกายไม่ได้รับสารอาหารที่เหมาะสมเหมือนขาดสารอาหาร ก็ไม่มีแรงที่จะต่อสู้กับโรคร้าย แต่พอลลิตินมีสารอาหารมากกว่า 280 ชนิด ซึ่งดูดซึมนำไปใช้ได้ทันทีถึงระดับเซลล์​

ต้องทานกี่เซ็ทถึงจะหาย
การใช้สารอาหารพอลลิติน ผู้ทานจะรู้สึกการทำงานได้ประมาณ 3 สัปดาห์ และเห็นผลได้ชัดเจนหลังจากการทานต่อเนื่อง 3 เดือนขึ้นไป​

ถ้าเป็นโรคไตจะเห็นผลตอนไหน
การเห็นผลและฟื้นตัวขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล แต่มีเคสที่ทานต่อเนื่องประมาณ 1 เดือนครึ่ง ก็ทำให้ อาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีฟอง ปวดเอว เป็นตะคริว ดีขึ้นอย่างชัดเจน

การให้ที่ดีที่สุด คือ การให้โอกาส
ตัวเราเองและคนที่คุณรัก

หากข้อมูลนี้เป็นประโยชน์สูงสุด
ส่งต่อข้อมูล​เพื่อเป็นต้นบุญสุขภาพ
​ให้กับผู้ป่วยโรคไตทุกคนค่ะ

Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Picture
Powered by Create your own unique website with customizable templates.
  • Di Lezel